ชมพระอาทิตย์ตก Sunset Point ไม่ต้องง้อทัวร์ ไปเองได้ภาพสวยเกินคาด ประหยัดกว่าเยอะ

webmaster

A breathtaking sunset over a tranquil, uncrowded scenic viewpoint in Thailand. The sky bursts with vibrant hues of orange, pink, and deep purple. A few people are peacefully admiring the view, some setting up cameras on tripods to capture the golden hour. The atmosphere is serene and calming, highlighting the beauty of nature without overwhelming crowds.

คุณเคยไหมที่รู้สึกอยากหลบหนีความวุ่นวายในเมืองหลวง ไปหาที่เงียบๆ นั่งมองพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า? สำหรับฉันแล้ว ช่วงเวลาที่ได้เห็นแสงสีส้มทองค่อยๆ แผ่กระจายไปทั่วท้องฟ้ายามเย็นที่ Sunset Point เนี่ย มันเป็นอะไรที่เติมเต็มพลังงานได้ดีที่สุดเลยล่ะ!

แต่เดี๋ยวนะ! การเดินทางไปจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินยอดฮิตเนี่ย บางทีก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ใครๆ ก็ตามหาประสบการณ์สุดประทับใจผ่านโซเชียลมีเดียแบบนี้ ทำให้หลายๆ ที่อาจจะคนเยอะ รถติดเป็นพิเศษ ยิ่งช่วงวันหยุดยาวนี่บอกเลยว่าต้องวางแผนดีๆ เลยนะจากประสบการณ์ตรงที่ฉันเคยไปมาหลายครั้ง ทั้งลองนั่งรถสาธารณะ ต่อ Grab บ้าง ขี่มอเตอร์ไซค์ลัดเลาะไปตามทางบ้างนะ ฉันบอกเลยว่าแต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันไป และบางครั้งเส้นทางที่ดูเหมือนจะใกล้ที่สุดใน Google Maps อาจจะไม่ได้สบายที่สุดเสมอไปหรอกนะ ยิ่งเดี๋ยวนี้แอปพลิเคชั่นนำทางก็อัปเดตข้อมูลการจราจรแบบเรียลไทม์ก็จริง แต่การรู้เคล็ดลับเฉพาะจากคนท้องถิ่นหรือผู้มีประสบการณ์จริงๆ นี่แหละที่จะทำให้ทริปของคุณราบรื่นและฟินสุดๆไม่ต้องกังวลไปค่ะ!

วันนี้ฉันจะมาแนะนำเส้นทางและเคล็ดลับดีๆ ที่จะพาคุณไปสัมผัสความงดงามของพระอาทิตย์ตกดินที่ Sunset Point ได้แบบไร้กังวล แถมยังได้รูปสวยๆ กลับไปอวดเพื่อนแน่นอน มาดูกันให้ละเอียดเลยดีกว่าค่ะว่าต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง!

ช่วงเวลาทองที่ต้องจับจอง: เคล็ดลับเลี่ยงคนเยอะ!

ชมพระอาท - 이미지 1
สำหรับนักเดินทางอย่างเราๆ ที่อยากไปชื่นชมความงามของพระอาทิตย์ตกดินที่ Sunset Point แบบเต็มตา ไม่ต้องแย่งวิวกับใครต่อใคร สิ่งสำคัญที่สุดคือการรู้ “เวลาทอง” ค่ะ จากประสบการณ์ตรงที่เคยไปมาหลายครั้ง ฉันขอบอกเลยว่าการกะเวลาผิดแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้คุณพลาดช็อตเด็ดหรือต้องไปเบียดเสียดกับผู้คนจำนวนมากได้เลยนะ ยิ่งช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์หรือวันหยุดยาวนี่ไม่ต้องพูดถึงเลยค่ะ เพราะทุกคนต่างก็อยากมาสัมผัสบรรยากาศโรแมนติกแบบนี้ การวางแผนล่วงหน้าจึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้คุณได้ภาพสวยๆ และความทรงจำดีๆ กลับไปเต็มกระเป๋า โดยไม่ต้องรู้สึกหงุดหงิดกับการจราจรหรือการหาที่จอดเลยล่ะ ฉันเคยพลาดมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนั้นคิดว่าไปก่อนเวลาสักครึ่งชั่วโมงน่าจะพอ แต่พอไปถึงเท่านั้นแหละ รถติดยาวเหยียด แถมที่จอดรถก็เต็มทุกซอกทุกมุม วนอยู่เกือบชั่วโมงกว่าจะได้จอด เดินเข้าไปก็เจอผู้คนแน่นขนัดจนแทบจะไม่มีที่ยืนมองพระอาทิตย์เลยล่ะค่ะ คืนนั้นเลยได้แค่เงาตะคุ่มๆ ของคนอื่นบังวิวไปหมดเลย เสียดายมาก!

1. เช็กตารางพระอาทิตย์ตกดินให้ดี

แน่นอนว่าสิ่งแรกที่คุณต้องทำคือเช็กเวลาพระอาทิตย์ตกดินของวันนั้นๆ ในแอปพลิเคชันพยากรณ์อากาศหรือเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้ ซึ่งเวลาจะเปลี่ยนไปในแต่ละเดือนและแต่ละฤดู การรู้เวลานี้จะช่วยให้คุณวางแผนการเดินทางได้อย่างแม่นยำที่สุด แต่แค่นั้นยังไม่พอค่ะ!

คุณต้องไปถึงก่อนเวลาพระอาทิตย์ตกอย่างน้อย 1-1.5 ชั่วโมง เพื่อให้มีเวลาเดินหาทำเลเหมาะๆ จัดวางอุปกรณ์ถ่ายภาพ หรือแม้แต่นั่งพักผ่อนดื่มด่ำบรรยากาศก่อนที่ความงามจะเริ่มปรากฏขึ้น ลองคิดดูสิคะว่าถ้าไปถึงแล้วต้องรีบๆ ถ่ายรูปเพราะกลัวไม่ทัน มันจะไม่ได้อรรถรสเลยนะ ยิ่งถ้าคุณเป็นคนชอบเก็บภาพบรรยากาศก่อนและหลังพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าด้วยล่ะก็ เวลานี้ถือว่าสำคัญมากเลยค่ะ

2. เผื่อเวลาเดินทางและหาที่จอด

นี่คือสิ่งที่หลายคนมักจะมองข้ามค่ะ! ถนนหนทางในเมืองไทย โดยเฉพาะช่วงเย็นๆ นี่เดาใจยากจริงๆ บางทีที่คิดว่าใกล้ๆ ก็อาจจะติดยาวจนเกินคาดได้ หรือบางทีแอปพลิเคชันบอกว่ารถไม่ติด พอออกไปจริงก็เจอเหตุไม่คาดฝันอีก ฉันแนะนำให้คุณเผื่อเวลาเดินทางอย่างน้อย 30-60 นาทีจากเวลาปกติที่แอปนำทางแจ้ง ที่สำคัญคือเรื่องที่จอดรถค่ะ ถ้าคุณขับรถไปเอง Sunset Point บางแห่งอาจจะไม่มีที่จอดเป็นกิจจะลักษณะ คุณอาจจะต้องวนหา หรือไปจอดในบริเวณใกล้เคียงแล้วเดินต่อ ซึ่งแน่นอนว่าต้องใช้เวลา ฉันเคยไปถึงก่อนเวลามากพอ แต่กลับเสียเวลาไปกับการหาที่จอดรถเกือบชั่วโมง สุดท้ายก็ต้องเดินไกลจนเหนื่อยไปหมดเลย

3. ลองไปวันธรรมดาดูบ้าง

ถ้าเป็นไปได้ และตารางชีวิตของคุณเอื้ออำนวย ฉันขอแนะนำให้คุณไป Sunset Point ในช่วงวันธรรมดาค่ะ! บรรยากาศจะแตกต่างจากวันหยุดราวฟ้ากับเหวเลยนะ ผู้คนบางตาลงมาก ทำให้คุณได้มีพื้นที่ส่วนตัวในการดื่มด่ำกับธรรมชาติอย่างเต็มที่ ไม่ต้องกังวลว่าใครจะมาบังวิว หรือต้องคอยหลบผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา แถมยังได้ถ่ายรูปสวยๆ แบบไม่ต้องมีคนแปลกหน้าติดมาในเฟรมเยอะแยะอีกด้วย ฉันเคยลองไปวันอังคารเย็นๆ ดู คือแบบฟินมาก!

เหมือนได้ครอบครองวิวหลักล้านอยู่คนเดียวเลยล่ะค่ะ รถก็ไม่ติด ที่จอดก็หาง่าย ทุกอย่างดูผ่อนคลายไปหมด

การเดินทางสู่ Sunset Point: ทางไหนเวิร์คสุดสำหรับคุณ?

การเลือกวิธีการเดินทางไป Sunset Point เนี่ยเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสุขและความราบรื่นของทริปเลยนะ จากประสบการณ์ที่ฉันเคยลองมาหมดไม่ว่าจะนั่งรถสาธารณะ ต่อ Grab หรือจะควบมอเตอร์ไซค์ไปเอง บอกเลยว่าแต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันไปค่ะ ไม่มีวิธีไหนที่ “ดีที่สุด” สำหรับทุกคน เพราะมันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณที่คุณมี ความคุ้นเคยกับเส้นทาง หรือแม้กระทั่งว่าคุณไปกับใครและมีอุปกรณ์สัมภาระเยอะแค่ไหน บางคนอาจจะชอบความสะดวกสบายแบบสุดๆ ยอมจ่ายแพงหน่อย แต่บางคนก็ชอบความท้าทาย อยากลองใช้ชีวิตแบบคนท้องถิ่น หรือเน้นประหยัดงบประมาณ ฉันเองเคยคิดว่าการนั่งรถไปเองจะสะดวกที่สุด แต่สุดท้ายก็ต้องเจอเรื่องเซอร์ไพรส์ตลอด ไม่ว่าจะรถติดหนักมาก หรือเจอถนนที่ไม่คุ้นเคยจนหลงทาง ดังนั้นการทำความเข้าใจข้อดีข้อเสียของแต่ละวิธีจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีที่สุด และเตรียมพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ค่ะ

วิธีการเดินทาง ข้อดี ข้อเสีย เหมาะสำหรับ
รถโดยสารสาธารณะ ประหยัดค่าใช้จ่าย, ไม่ต้องกังวลเรื่องที่จอด, ได้สัมผัสชีวิตคนท้องถิ่น อาจไม่สะดวกถ้าจุดหมายอยู่ไกลจากสถานี, ต้องต่อรถหลายต่อ, ใช้เวลาเดินทางนานกว่า, ไม่เหมาะกับผู้มีสัมภาระเยอะ นักเดินทางงบน้อย, ผู้ที่ชอบการเดินทางแบบ Slow Travel, ผู้ที่ไม่มีรถส่วนตัว
แกร็บ (Grab) / แท็กซี่ สะดวกสบายที่สุด, รวดเร็ว, ไปถึงจุดหมายโดยตรง, มีความเป็นส่วนตัว มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าวิธีอื่น, อาจเรียกยากในช่วงเวลาเร่งด่วน, รถติดก็เสียเงินเท่าเดิม ผู้ที่เน้นความสะดวกสบาย, ผู้ที่ต้องการประหยัดเวลา, กลุ่มเพื่อนหรือครอบครัว
รถยนต์ส่วนตัว / มอเตอร์ไซค์ อิสระในการเดินทาง, แวะเที่ยวที่อื่นได้, ขนสัมภาระได้เยอะ, ควบคุมเวลาได้เอง ต้องเผชิญปัญหารถติด, ค่าเชื้อเพลิงและค่าบำรุงรักษา, ปัญหาการหาที่จอด, อาจมีค่าผ่านทาง/ค่าจอด ผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง, ผู้ที่เดินทางเป็นกลุ่ม, ผู้ที่นำอุปกรณ์เยอะ

1. ทางเลือกสาธารณะ: รถเมล์, รถไฟฟ้า, เรือ

หาก Sunset Point ของคุณอยู่ไม่ไกลจากระบบขนส่งสาธารณะ เช่น รถไฟฟ้า BTS, MRT หรือมีรถเมล์สายตรงผ่าน นี่คือทางเลือกที่ประหยัดและน่าสนใจเลยล่ะค่ะ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่การจราจรเอาแน่เอานอนไม่ได้ การใช้รถไฟฟ้าจะช่วยให้คุณกะเวลาได้แม่นยำกว่าเยอะ แต่ก็ต้องดูด้วยว่าจากสถานีรถไฟฟ้าไปยัง Sunset Point นั้นต้องต่อรถอะไรอีกไหม เช่น ต่อรถเมล์, วินมอเตอร์ไซค์ หรือต้องเดินไปไกลแค่ไหน บางครั้งฉันก็เลือกนั่งเรือโดยสารเจ้าพระยาไปลงท่าเรือใกล้ๆ แล้วเดินต่อไปนิดหน่อย บรรยากาศตอนนั่งเรือนี่ก็ดีไปอีกแบบนะ ได้เห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหมายปลายทาง แต่ข้อเสียคืออาจจะใช้เวลานาน และบางเส้นทางอาจไม่สะดวกถ้าต้องต่อรถหลายต่อ หรือต้องเดินไกลค่ะ

2. แกร็บ (Grab) หรือแท็กซี่: สะดวกแต่มีข้อจำกัด

สำหรับคนที่เน้นความสะดวกสบายและต้องการไปถึงจุดหมายโดยตรง Grab หรือแท็กซี่คือคำตอบค่ะ เพียงแค่ปักหมุดแล้วรอรถมารับ คุณก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการขับรถเองหรือหาที่จอดเลย แต่ข้อจำกัดที่ฉันเจอมาบ่อยๆ คือเรื่อง “ค่าใช้จ่าย” โดยเฉพาะถ้าเดินทางคนเดียว และอีกอย่างคือ “การจราจร” ค่ะ ต่อให้เรานั่ง Grab รถก็ยังติดเหมือนเดิม แถมราคาอาจจะพุ่งสูงขึ้นในช่วงเวลาเร่งด่วนหรือฝนตกหนักอีกด้วย ฉันเคยเรียก Grab ไป Sunset Point ช่วงเย็นวันศุกร์ โอ้โห!

ราคาพุ่งไปเกือบเท่าตัวเลยค่ะ แถมยังต้องรอนานกว่าปกติอีกด้วย

3. รถยนต์ส่วนตัวหรือมอเตอร์ไซค์: อิสระแต่ต้องลุ้นที่จอด

ถ้าคุณมีรถยนต์ส่วนตัวหรือมอเตอร์ไซค์ นี่คือวิธีที่ให้ความอิสระมากที่สุดค่ะ คุณสามารถแวะเที่ยวที่ไหนก็ได้ระหว่างทาง ขนสัมภาระได้เต็มที่ และไม่ต้องกังวลเรื่องการเดินทางกลับตอนดึกๆ แต่ข้อเสียหลักๆ ที่ฉันเจอคือ “ปัญหารถติด” ค่ะ โดยเฉพาะถ้า Sunset Point ของคุณอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ยิ่งช่วงวันหยุดยาวนี่บอกเลยว่าแทบจะกระดิกไม่ได้เลย และที่สำคัญไม่แพ้กันคือ “ที่จอดรถ” ค่ะ บางจุดชมวิวอาจจะมีที่จอดจำกัด หรือต้องไปจอดในที่ที่ค่อนข้างไกลแล้วเดินต่อ ฉันเคยเสียเวลาวนหาที่จอดรถเป็นชั่วโมงกว่าจะได้ไปถึงจุดชมวิวค่ะ แถมค่าจอดรถก็ไม่ใช่ถูกๆ อีกด้วยนะ ฉันว่าถ้าจะเอารถส่วนตัวไป ต้องวางแผนเรื่องที่จอดดีๆ เลยค่ะ

เตรียมตัวให้พร้อมก่อนไป: ของมันต้องมี!

การเดินทางไป Sunset Point ไม่ใช่แค่การไปถึงแล้วมองพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเฉยๆ นะคะ แต่เป็นการไปสร้างประสบการณ์และความทรงจำดีๆ ที่จะอยู่กับเราไปอีกนานแสนนาน ดังนั้นการเตรียมตัวให้พร้อมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ทริปของคุณสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ฉันเคยมีประสบการณ์ที่คิดว่า “ไปง่ายๆ ไม่ต้องเตรียมอะไรมากหรอก” ผลลัพธ์คือพลาดช็อตเด็ดเพราะแบตกล้องหมด, หงุดหงิดเพราะยุงเยอะ หรือต้องรีบกลับเพราะอากาศหนาวเกินไป ทุกอย่างเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้แหละค่ะที่บั่นทอนความสุขในทริปของเราได้ เพราะฉะนั้นเรียนรู้จากความผิดพลาดของฉัน แล้วมาเตรียมตัวให้พร้อมที่สุดกันดีกว่าค่ะ จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียดายทีหลังนะ!

1. อุปกรณ์ถ่ายภาพ: เก็บทุกโมเมนต์ประทับใจ

ถ้าคุณเป็นสายถ่ายรูป บอกเลยว่าต้องเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมที่สุด! 1. กล้องถ่ายรูป: ไม่ว่าจะเป็นกล้อง DSLR, Mirrorless, หรือแม้แต่สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ ก็สามารถถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกดินสวยๆ ได้สบายๆ ค่ะ แต่ต้องแน่ใจว่าแบตเตอรี่เต็มพร้อมใช้งาน และมีเมมโมรี่การ์ดสำรองไว้ด้วยนะ ฉันเคยแบตหมดกลางคันนี่แบบปวดใจมาก!

2. ขาตั้งกล้อง (Tripod): สิ่งนี้สำคัญมากถ้าคุณอยากได้ภาพที่คมชัด โดยเฉพาะในสภาพแสงน้อยตอนที่พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าไปแล้ว ขาตั้งกล้องจะช่วยให้ภาพไม่สั่นเบลอ และยังช่วยให้คุณสามารถถ่ายภาพแบบ Long Exposure ได้อีกด้วย
3.

เลนส์ที่เหมาะสม: ถ้ามีเลนส์ซูมหรือเลนส์ Wide Angle จะช่วยให้คุณเก็บภาพได้หลากหลายมุมมองมากยิ่งขึ้น ลองฝึกใช้ดูก่อนไปจริงนะคะ จะได้ไม่พลาดช็อตเด็ด
4. อุปกรณ์เสริม: แบตสำรอง (Power Bank), ฟิลเตอร์ ND (Neutral Density) หรือฟิลเตอร์ Graduated ND ถ้ามี จะช่วยให้การถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกของคุณดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น

2. ของใช้ส่วนตัว: ความสบายคือสิ่งสำคัญ

ความสบายกายระหว่างชมวิวจะช่วยให้คุณดื่มด่ำกับบรรยากาศได้เต็มที่ค่ะ
1. น้ำดื่มและขนม: บาง Sunset Point อาจจะไม่มีร้านค้าบริการ หรืออยู่ห่างไกลจากแหล่งชุมชน การเตรียมน้ำดื่มและขนมขบเคี้ยวเล็กๆ น้อยๆ ไปด้วย จะช่วยให้คุณไม่หิวโหยระหว่างรอชมพระอาทิตย์ และมีพลังงานในการเดินสำรวจ
2.

ผ้าห่มหรือเสื้อคลุมกันหนาว: แม้ตอนกลางวันอากาศจะร้อน แต่พอพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว อากาศอาจจะเย็นลงอย่างรวดเร็วค่ะ โดยเฉพาะถ้าลมแรงๆ การเตรียมเสื้อคลุมบางๆ หรือผ้าห่มผืนเล็กๆ ไปด้วยจะช่วยให้คุณอบอุ่นและนั่งชมวิวได้นานขึ้น
3.

สเปรย์กันยุง: ยุงเป็นของคู่กันกับช่วงเวลาโพล้เพล้ค่ะ! โดยเฉพาะถ้า Sunset Point ของคุณอยู่ใกล้แหล่งน้ำหรือต้นไม้เยอะๆ สเปรย์กันยุงจะช่วยให้คุณไม่ต้องมานั่งเกาและหงุดหงิดตอนกำลังฟินกับวิวสวยๆ

3. เสื้อผ้าและรองเท้า: เหมาะสมกับสถานที่

การเลือกชุดและรองเท้าที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณเคลื่อนไหวได้สะดวกและปลอดภัย
1. เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี: เลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่สบาย ไม่อับชื้น และระบายอากาศได้ดี เพราะบางทีคุณอาจจะต้องเดินหรือปีนป่ายเล็กน้อยเพื่อหามุมสวยๆ
2.

รองเท้าที่กระชับและเดินสบาย: รองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าแตะรัดส้นที่เดินได้นานๆ จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดค่ะ หลีกเลี่ยงรองเท้าส้นสูงหรือรองเท้าที่ไม่กระชับ เพราะอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ โดยเฉพาะถ้าต้องเดินบนพื้นผิวที่ไม่เรียบ
3.

หมวกและแว่นกันแดด: ในช่วงบ่ายแดดอาจจะยังแรงอยู่ หมวกและแว่นกันแดดจะช่วยปกป้องคุณจากแสงแดดที่จ้า และยังช่วยให้คุณมองเห็นวิวได้อย่างชัดเจนอีกด้วย

เคล็ดลับสุดยอด: ถ่ายรูปยังไงให้ปังจนเพื่อนอิจฉา!

เชื่อว่าหลายคนไป Sunset Point ก็เพื่อที่จะเก็บภาพความประทับใจกลับมาอวดเพื่อนๆ หรือลงโซเชียลใช่ไหมล่ะคะ? การถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกดินให้สวยจนเพื่อนอิจฉาเนี่ย ไม่ใช่แค่การจิ้มกล้องแล้วกดชัตเตอร์นะ แต่มันมีเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ที่จะช่วยให้ภาพของคุณดูมีมิติ มีเรื่องราว และน่าสนใจมากยิ่งขึ้น จากประสบการณ์ที่ฉันตะลุยถ่ายรูปมาหลายที่ ฉันบอกเลยว่าการหามุมที่ดี การเล่นกับองค์ประกอบต่างๆ และการอดทนรอแสงสุดท้ายนี่แหละคือหัวใจสำคัญที่จะทำให้ภาพของคุณไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน!

อย่าเพิ่งท้อใจถ้าภาพแรกๆ ยังไม่สวยถูกใจนะคะ ฝึกฝนไปเรื่อยๆ แล้วคุณจะค้นพบมุมโปรดและสไตล์ของตัวเองค่ะ

1. หามุมทอง: จุดไหนที่แสงสวยที่สุด

ก่อนจะกดชัตเตอร์ อย่าเพิ่งรีบร้อนค่ะ! ลองเดินสำรวจรอบๆ Sunset Point ดูสักนิด มองหา “มุมทอง” ที่แสงพระอาทิตย์จะตกกระทบได้สวยงามที่สุด อาจจะเป็นมุมที่มีองค์ประกอบอื่น ๆ เช่น ต้นไม้ ก้อนหิน อาคาร หรือแม้แต่น้ำที่สะท้อนแสงอาทิตย์ได้ ลองเปลี่ยนตำแหน่งการยืน ย่อตัวลง หรือขึ้นไปบนที่สูงเพื่อหามุมที่แตกต่างกันออกไป ฉันเคยเดินวนหาอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะเจอมุมที่ใช่จริง ๆ ค่ะ ซึ่งมุมนั้นเป็นมุมที่มีต้นไม้ใหญ่ยืนต้นอยู่เป็นฉากหน้าพอดี ทำให้ภาพดูมีมิติและน่าสนใจขึ้นเยอะเลย

2. เล่นกับองค์ประกอบ: ซิลลูเอทและแสงสะท้อน

ชมพระอาท - 이미지 2

อย่าถ่ายแค่ดวงอาทิตย์อย่างเดียวค่ะ! การใส่ “องค์ประกอบ” อื่นๆ เข้าไปในภาพจะช่วยให้ภาพของคุณดูมีชีวิตชีวาและน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
1. สร้างภาพซิลลูเอท (Silhouette): ให้วัตถุหรือคนเป็นเงาดำตัดกับแสงสีทองของท้องฟ้ายามเย็น นี่คือเทคนิคยอดนิยมที่สร้างภาพสวยคลาสสิกได้เสมอ ลองให้เพื่อนยืนหันหลังให้แสง แล้วถ่ายให้เห็นเป็นรูปคนดำๆ ตัดกับท้องฟ้าสิคะ สวยปังแน่นอน!

2. ใช้แสงสะท้อน: ถ้ามีแหล่งน้ำ ไม่ว่าจะเป็นทะเล แม่น้ำ หรือแม้แต่แอ่งน้ำเล็กๆ ลองถ่ายให้เห็นแสงพระอาทิตย์สะท้อนลงบนผิวน้ำดูค่ะ ภาพจะดูมีมิติและงดงามราวกับภาพวาดเลยทีเดียว
3.

ใส่ฉากหน้าและฉากหลัง: อย่าให้ภาพดูโล่งจนเกินไป ลองหาสิ่งที่อยู่ใกล้ๆ มาเป็นฉากหน้า เช่น ใบไม้ กิ่งไม้ หรือแม้แต่มือของเราเอง เพื่อสร้างมิติความลึกให้กับภาพ

3. แสงสุดท้าย: รอจนฟ้ามืดสนิท

หลายคนมักจะกลับบ้านทันทีที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว แต่นี่แหละคือความผิดพลาดค่ะ! เพราะ “แสงสุดท้าย” หรือช่วงเวลาหลังจากพระอาทิตย์ตกไปแล้วประมาณ 15-30 นาที คือช่วงเวลาที่ท้องฟ้าจะเปลี่ยนเป็นสีสันที่สวยงามที่สุด ไม่ว่าจะเป็นสีม่วง ชมพู น้ำเงินเข้ม หรือแม้กระทั่งสีส้มอมม่วงที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว นี่คือช่วงเวลาที่แสงจะนุ่มนวลและไม่จ้าจนเกินไป เหมาะกับการถ่ายภาพที่ให้ความรู้สึกสงบและงดงามอย่างแท้จริง ฉันเคยรออยู่จนมืดสนิท แล้วถ่ายภาพท้องฟ้าที่ยังคงมีแสงเรื่อๆ ของพระอาทิตย์ตกค้างอยู่ ตัดกับแสงดาวที่เริ่มปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย บอกเลยว่าภาพนั้นเป็นภาพโปรดของฉันเลยล่ะค่ะ คุ้มค่ากับการรอคอยจริงๆ!

แผนสำรองฉุกเฉิน: เมื่อ Sunset Point คนล้นหลาม!

คุณเคยไหมที่วางแผนมาอย่างดี เตรียมตัวมาครบครัน แต่พอไปถึง Sunset Point จริงๆ แล้วกลับพบว่าคนเยอะมหาศาลจนแทบจะไม่มีที่ยืน? ฉันเข้าใจความรู้สึกนั้นดีเลยค่ะ!

มันทั้งเสียดาย เสียเวลา และแอบหงุดหงิดนิดๆ ด้วยซ้ำ ประสบการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้บ่อยมากๆ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลหรือวันหยุดยาว แต่ชีวิตก็ต้องไปต่อใช่ไหมล่ะคะ?

ในฐานะนักเดินทางที่มีประสบการณ์ในการเจอสถานการณ์แบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ฉันมี “แผนสำรอง” ที่จะช่วยให้คุณยังคงได้สัมผัสความงามของพระอาทิตย์ตกดินได้ แม้ว่าจะไม่ใช่ที่ Sunset Point หลักก็ตาม เพราะบางครั้งการเปลี่ยนแผนกะทันหันก็อาจจะนำไปสู่การค้นพบสถานที่ลับๆ หรือมุมใหม่ๆ ที่สวยงามไม่แพ้กันเลยก็ได้นะคะ ลองดูทางเลือกเหล่านี้ไว้เผื่อต้องใช้งานจริงค่ะ!

1. มองหามุมใกล้เคียงที่คนยังไม่รู้จัก

ถ้า Sunset Point หลักคนเยอะเกินไป ลองเดินสำรวจบริเวณใกล้เคียงดูค่ะ บางครั้งอาจจะมีมุมเล็กๆ ที่คนยังไม่ค่อยรู้จัก แต่ก็สามารถมองเห็นวิวพระอาทิตย์ตกดินได้ไม่แพ้กันเลยนะ อาจจะต้องเดินลัดเลาะไปตามทางเล็กๆ หรือขึ้นไปบนเนินเขาเตี้ยๆ ที่ไม่เป็นที่นิยมมากนัก แต่คุณอาจจะค้นพบ “เพชรเม็ดงาม” ที่ซ่อนอยู่ก็เป็นได้ ฉันเคยเจอแบบนี้ค่ะ ตอนนั้น Sunset Point คนแน่นเอี๊ยดจนต้องถอย แล้วลองขับรถวนไปอีกไม่กี่นาที ก็ไปเจอมุมลับๆ ที่คนไม่เยอะเลย แถมวิวยังสวยกว่าจุดหลักอีกด้วย ได้รูปสวยๆ กลับมาแถมยังได้ความเป็นส่วนตัวด้วย ฟินสุดๆ เลยค่ะ

2. เปลี่ยนบรรยากาศ: ไปดูพระอาทิตย์ตกริมน้ำหรือบนตึกสูงแทน

ถ้าการไป Sunset Point ดูจะเป็นไปไม่ได้แล้วจริงๆ ลองเปลี่ยนแนวไปเลยไหมคะ? บางเมืองมีแม่น้ำสายใหญ่ หรือมีตึกสูงที่มี Rooftop Bar สวยๆ ที่สามารถมองเห็นวิวพระอาทิตย์ตกได้เช่นกัน การไปชมพระอาทิตย์ตกริมแม่น้ำหรือบนตึกสูงก็จะให้บรรยากาศที่แตกต่างออกไป ได้เห็นแสงสีของเมืองยามเย็นที่สะท้อนกับแสงพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งความงามที่น่าประทับใจไม่แพ้กันเลยนะคะ และบางทีการได้นั่งจิบค็อกเทลเย็นๆ พร้อมชมวิวจากมุมสูง ก็อาจจะเป็นประสบการณ์ที่ดีกว่าการไปเบียดเสียดกับผู้คนมากมายก็เป็นได้

3. กลับมาใหม่วันหลัง: อย่าฝืนตัวเองนะ!

นี่คือแผนสำรองที่อาจจะดูธรรมดาที่สุด แต่บางครั้งก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดค่ะ! ถ้าคุณไปถึงแล้วรู้สึกว่าคนเยอะเกินไปจนไม่ไหวจริงๆ หรือรู้สึกว่าไม่คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป ลองตัดสินใจกลับก่อนแล้วค่อยมาใหม่ในวันหลังที่คนน้อยกว่านี้ดีกว่าค่ะ อย่าฝืนตัวเองให้ต้องทนอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สบายใจ เพราะนั่นจะทำให้คุณหมดสนุกไปเสียเปล่าๆ การยอมรับความจริงและวางแผนใหม่คือสิ่งสำคัญ ฉันเคยทำแบบนี้มาแล้วค่ะ ยอมถอยกลับแล้วมาใหม่ในวันธรรมดา ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็คือได้วิวสวยๆ แบบไม่ต้องเบียดเสียด แถมยังได้รูปที่ถูกใจมากกว่าเดิมเยอะเลยค่ะ

สิ่งที่ควรรู้ก่อนไป: มารยาทและการดูแลตัวเอง

การเดินทางไป Sunset Point ไม่ได้มีแค่การชมวิวสวยๆ ถ่ายรูปงามๆ เท่านั้นนะคะ แต่ยังรวมถึงการเป็นนักท่องเที่ยวที่ดีและรู้จักดูแลตัวเองอีกด้วย จากประสบการณ์ที่ฉันเคยไปมาหลายที่ บางครั้งก็เจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด หรือเจอผู้คนที่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจจะส่งผลต่อความสุขในการเดินทางของเราได้ ดังนั้น การเตรียมตัวให้พร้อมไม่ว่าจะเป็นเรื่องมารยาท การรักษาความปลอดภัย หรือแม้กระทั่งการเตรียมเงินสด ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ทริปของคุณราบรื่น ไร้กังวล และเต็มไปด้วยความประทับใจค่ะ อย่ามองข้ามเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้นะคะ เพราะมันอาจจะสร้างความแตกต่างให้กับประสบการณ์โดยรวมของคุณได้มากเลยทีเดียว

1. เคารพสถานที่และคนอื่นๆ

นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดค่ะ! ไม่ว่าจะไปที่ไหน เราต้องเคารพสถานที่และผู้คนรอบข้างเสมอ
1. ทิ้งขยะให้ถูกที่: อย่าทิ้งขยะเรี่ยราดโดยเด็ดขาด!

ช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมและความสะอาดของสถานที่ เพื่อให้ Sunset Point ของเราสวยงามอยู่เสมอ
2. ไม่ส่งเสียงดังรบกวน: ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ตกดินเป็นช่วงเวลาที่หลายคนอยากดื่มด่ำกับบรรยากาศอันเงียบสงบ การพูดคุยเสียงดัง หรือเปิดเพลงเสียงดัง จะเป็นการรบกวนผู้อื่นได้
3.

ไม่กีดขวางทางเดินหรือมุมมอง: พยายามหาพื้นที่ที่เหมาะสมในการชมวิวและถ่ายรูป อย่าไปยืนบังทางเดิน หรือไปยืนบังมุมมองของคนอื่นนะคะ ถ้าจะถ่ายรูป ให้รีบถ่ายแล้วหลบออกมาค่ะ

2. ระมัดระวังทรัพย์สินและสุขภาพ

ความปลอดภัยของตัวเองและทรัพย์สินเป็นสิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก
1. ดูแลทรัพย์สินมีค่า: ระมัดระวังกระเป๋าเงิน กล้องถ่ายรูป โทรศัพท์มือถือ และของมีค่าอื่นๆ อย่าเก็บทุกอย่างไว้ในกระเป๋าเดียวกัน และพยายามอย่าปล่อยของมีค่าไว้โดยไม่มีคนดูแล
2.

ระวังยุงและแมลง: อย่างที่บอกไปแล้วว่าช่วงเย็นๆ ยุงและแมลงอาจจะเยอะ เตรียมสเปรย์กันยุงติดตัวไปด้วยก็ดีค่ะ
3. เตรียมยาประจำตัว: ถ้าคุณมีโรคประจำตัว หรือแพ้อะไร ควรเตรียมยาประจำตัวและยาแก้แพ้ติดตัวไปด้วยเสมอ เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง

3. เตรียมเงินสดเผื่อฉุกเฉิน

แม้ว่าปัจจุบันนี้สังคมไร้เงินสดจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น แต่การมีเงินสดติดตัวไว้บ้างก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่อาจจะไม่ได้อยู่ใจกลางเมืองมากนัก
1.

ค่าเดินทาง: บางครั้งแอปพลิเคชันเรียกแท็กซี่อาจจะมีปัญหา หรือในบางพื้นที่อาจจะไม่รองรับการชำระเงินแบบดิจิทัล การมีเงินสดจะช่วยให้คุณสามารถเดินทางกลับได้สะดวก
2.

ค่าอาหารและเครื่องดื่ม: ร้านค้าเล็กๆ หรือร้านอาหารบางแห่งอาจจะยังไม่รับการชำระเงินผ่าน QR Code หรือบัตรเครดิต การมีเงินสดจะช่วยให้คุณไม่พลาดโอกาสในการลองชิมอาหารท้องถิ่น
3.

ค่าเข้าชม/ค่าจอดรถ: Sunset Point บางแห่งอาจจะมีการเก็บค่าเข้าชม หรือค่าจอดรถ ซึ่งส่วนใหญ่จะรับเป็นเงินสด การเตรียมพร้อมในส่วนนี้จะช่วยให้ทริปของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุด

หลังพระอาทิตย์ตกดิน: เติมพลังให้ทริปสมบูรณ์

หลังจากที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ความงามของท้องฟ้ายามค่ำคืนก็เริ่มต้นขึ้น แต่สำหรับท้องเราแล้ว การชมวิวสวยๆ อาจจะทำให้ท้องร้องจ๊อกๆ ได้เหมือนกันนะคะ!

การหาอะไรอร่อยๆ ทาน หรือไปนั่งพักผ่อนในที่บรรยากาศดีๆ หลังชมพระอาทิตย์ตกดิน ถือเป็นการปิดท้ายทริปที่สมบูรณ์แบบที่สุดเลยล่ะค่ะ จากประสบการณ์ส่วนตัวแล้ว ฉันมักจะแพลนกิจกรรมหลังพระอาทิตย์ตกดินไว้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการหาร้านอาหารท้องถิ่นเด็ดๆ ที่อยู่ใกล้ๆ หรือไปนั่งจิบค็อกเทลชิลล์ๆ ในคาเฟ่บรรยากาศดีๆ เพราะมันเป็นการเติมเต็มพลังงานให้ร่างกายและจิตใจได้ดีเยี่ยม แถมยังได้สัมผัสวิถีชีวิตยามค่ำคืนของพื้นที่นั้นๆ อีกด้วย อย่าเพิ่งรีบกลับบ้านนะคะ ลองใช้เวลาอีกสักนิด รับรองว่าคุณจะหลงรักบรรยากาศยามค่ำคืนของ Sunset Point และบริเวณรอบๆ เหมือนที่ฉันหลงรักแน่นอนค่ะ

1. ร้านอาหารเด็ดใกล้เคียง

หลังจากดื่มด่ำกับความงามของพระอาทิตย์ตกดินจนเต็มอิ่มแล้ว ท้องก็มักจะเริ่มประท้วงใช่ไหมคะ? ลองหาร้านอาหารท้องถิ่นอร่อยๆ ที่อยู่ใกล้ๆ Sunset Point ดูค่ะ ส่วนใหญ่แล้วบริเวณแหล่งท่องเที่ยวแบบนี้มักจะมีร้านอาหารอร่อยๆ ซ่อนอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารทะเลสดๆ ถ้าอยู่ติดทะเล หรือร้านอาหารพื้นบ้านที่ขึ้นชื่อในท้องถิ่นนั้นๆ การได้นั่งทานอาหารอร่อยๆ ในบรรยากาศสบายๆ พร้อมกับพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้สึกหลังชมวิวสวยๆ กับคนรู้ใจ ถือเป็นการปิดท้ายวันที่สมบูรณ์แบบมากเลยนะ ฉันเองมักจะเสิร์ชหาข้อมูลร้านอาหารล่วงหน้า หรือไม่ก็เดินดูรอบๆ แล้วเลือกร้านที่ดูคนเยอะๆ เพราะนั่นมักจะเป็นสัญญาณของร้านอาหารที่อร่อยค่ะ

2. คาเฟ่บรรยากาศดี

ถ้าคุณไม่ใช่สายอาหารมื้อหนัก หรืออยากเปลี่ยนบรรยากาศไปนั่งชิลล์ๆ แทน ลองมองหาคาเฟ่บรรยากาศดีๆ ที่อยู่ใกล้ๆ Sunset Point ดูค่ะ คาเฟ่หลายแห่งในปัจจุบันมีการตกแต่งที่สวยงาม มีเครื่องดื่มและขนมอร่อยๆ ให้เลือกมากมาย การได้นั่งจิบกาแฟหอมๆ หรือเครื่องดื่มเย็นๆ พร้อมกับขนมหวานอร่อยๆ ในบรรยากาศสบายๆ หลังพระอาทิตย์ตกดิน ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยเลยนะคะ บางคาเฟ่อาจจะมีดนตรีสดเล่นเบาๆ ด้วย ทำให้บรรยากาศดูโรแมนติกและผ่อนคลายมากยิ่งขึ้นไปอีก ฉันเคยเจอคาเฟ่ที่มีมุมนั่งเล่นมองเห็นวิวแสงไฟในเมืองยามค่ำคืน มันเป็นอะไรที่เติมเต็มความสุขได้ดีมากๆ เลยค่ะ

3. แพลนเดินทางกลับที่ปลอดภัย

สิ่งสุดท้ายที่สำคัญไม่แพ้กันคือการวางแผนการเดินทางกลับบ้านค่ะ โดยเฉพาะถ้าคุณเดินทางคนเดียว หรือต้องกลับในเวลากลางคืน ตรวจสอบเส้นทางและวิธีการเดินทางกลับล่วงหน้า เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะถึงที่พักอย่างปลอดภัย หากใช้รถโดยสารสาธารณะ ให้เช็กตารางเดินรถเที่ยวสุดท้าย หรือหากใช้ Grab/แท็กซี่ ให้แน่ใจว่ามีสัญญาณโทรศัพท์และแบตเตอรี่เพียงพอสำหรับการเรียกใช้บริการ ฉันเองมักจะปักหมุดที่พักไว้ในแอปพลิเคชันนำทางเสมอ และแจ้งให้คนที่บ้านทราบว่ากำลังเดินทางกลับ นี่คือการรับผิดชอบต่อตัวเองและทำให้คนที่บ้านไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ ความปลอดภัยมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอในทุกการเดินทาง!

การเดินทางไปชมพระอาทิตย์ตกดินที่ Sunset Point ไม่ใช่แค่การไปดูวิวสวยๆ แล้วกลับนะคะ แต่มันคือการสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำและเติมเต็มความสุขให้กับชีวิตค่ะ หวังว่าคำแนะนำและประสบการณ์ตรงของฉันจะเป็นประโยชน์ในการวางแผนทริปของคุณนะคะ ไม่ว่าจะเป็นการกะเวลาที่เหมาะสม การเลือกวิธีเดินทางที่ใช่ หรือการเตรียมตัวให้พร้อมในทุกสถานการณ์

สิ่งสำคัญที่สุดคือการที่คุณได้ดื่มด่ำกับความงามของธรรมชาติอย่างเต็มที่ และได้ภาพสวยๆ กลับไปเป็นที่ระลึก เพราะทุกโมเมนต์ที่คุณได้สัมผัสแสงสีทองยามเย็นนั้น คือความทรงจำที่ล้ำค่า ที่จะติดตัวคุณไปตลอด

ขอให้ทุกการเดินทางของคุณเต็มไปด้วยความสุขและความประทับใจ แล้วพบกันใหม่ในทริปหน้านะคะ!

1. เตรียมแอปพลิเคชันพยากรณ์อากาศและแอปแผนที่นำทางให้พร้อม เพื่อเช็กเวลาพระอาทิตย์ตกและสภาพการจราจรแบบเรียลไทม์เสมอ

2. สวมเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดีและรองเท้าที่เดินสบาย เพราะคุณอาจต้องเดินสำรวจหามุมถ่ายรูปหรือทางเข้าที่สะดวก

3. พกสเปรย์กันยุงและยาประจำตัวไปด้วยเสมอ โดยเฉพาะในช่วงพลบค่ำ ยุงอาจเยอะ และเพื่อความปลอดภัยด้านสุขภาพของคุณเอง

4. ควรมีเงินสดติดตัวไว้บ้าง แม้ว่าสังคมไร้เงินสดจะแพร่หลาย แต่บางร้านค้าเล็กๆ หรือค่าที่จอดรถยังอาจรับเฉพาะเงินสด

5. วางแผนกิจกรรมหลังพระอาทิตย์ตกดินล่วงหน้า เช่น หาร้านอาหารอร่อยๆ หรือคาเฟ่บรรยากาศดีๆ เพื่อเติมเต็มความสุขให้ทริปของคุณสมบูรณ์แบบ

การไปชมพระอาทิตย์ตกดินที่ Sunset Point ให้ได้ประสบการณ์ที่ดีที่สุดนั้น หัวใจสำคัญคือ “การวางแผนล่วงหน้า” และ “การเตรียมตัวให้พร้อม” ในทุกด้าน ตั้งแต่การเช็กเวลาพระอาทิตย์ตก การเผื่อเวลาเดินทาง การเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็น ไปจนถึงการมีแผนสำรองเผื่อสถานการณ์ไม่คาดฝัน

การรู้จักเคารพสถานที่และผู้อื่น รวมถึงการดูแลความปลอดภัยของตัวเองและทรัพย์สิน ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน

จำไว้ว่า จุดประสงค์หลักคือการได้ดื่มด่ำกับความงามของธรรมชาติอย่างเต็มที่ และสร้างความทรงจำดีๆ ที่จะติดตัวคุณไปตลอดการเดินทาง

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) 📖

ถาม: ไป Sunset Point ช่วงไหนดีที่สุดคะ คนจะได้ไม่เยอะมาก และควรไปถึงก่อนพระอาทิตย์ตกนานแค่ไหน?

ตอบ: จากประสบการณ์ตรงของฉันนะ ถ้าอยากได้บรรยากาศแบบสบายๆ คนไม่แน่นจนอึดอัด ฉันแนะนำให้ไปช่วงวันธรรมดาเลยค่ะ เลี่ยงวันหยุดยาว หรือเสาร์-อาทิตย์จะดีที่สุด เพราะช่วงนั้นคนจะเยอะมากกกก บางทีเจอรถติดตั้งแต่ทางเข้า กว่าจะหาที่จอดได้ก็เหนื่อยแล้วค่ะ!
ส่วนเรื่องเวลา ควรไปถึงสักประมาณ 1 ชั่วโมง ถึง 1 ชั่วโมงครึ่งก่อนพระอาทิตย์ตกจะกำลังดีเลยนะ จะได้มีเวลาเดินเลือกมุมถ่ายรูปสวยๆ หรือหาที่นั่งเหมาะๆ ไม่ต้องรีบ แถมได้เห็นแสงที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปตั้งแต่ฟ้ายังสว่างยันโพล้เพล้ด้วยนะ ฟินสุดๆ ค่ะ

ถาม: การเดินทางไป Sunset Point วิธีไหนสะดวกที่สุดคะ ถ้าไม่อยากขับรถไปเอง? แล้วมีวิธีเลี่ยงรถติดบ้างไหม?

ตอบ: อันนี้เป็นคำถามยอดฮิตเลยค่ะ! คือถ้าไม่อยากขับรถไปเองเนี่ย ถ้าเป็นฉันนะ ฉันชอบนั่ง Grab หรือแท็กซี่ไปค่ะ สะดวกสุดๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องที่จอด แต่บางทีราคาก็จะสูงหน่อย โดยเฉพาะช่วงเวลาพีคๆ แต่ถ้าอยากประหยัดหน่อย หรืออยากได้ความคล่องตัว ฉันแนะนำให้ลองนั่งรถสาธารณะไปลงใกล้ๆ แล้วต่อวินมอเตอร์ไซค์ หรือ Grab Bike เข้าไปค่ะ พวกพี่วินเนี่ยแหละตัวช่วยชั้นดี!
เค้าจะรู้เส้นทางลัดเลาะที่ไม่ติดเหมือนถนนใหญ่ ยิ่งช่วงรถติดๆ นะ ฉันเคยโดนพี่วินช่วยชีวิตมาแล้วหลายครั้งเลยค่ะ ประหยัดเวลาไปได้เยอะมากๆ!

ถาม: นอกจากกล้องถ่ายรูปแล้ว มีอะไรที่เราควรเตรียมไป Sunset Point อีกบ้างคะ เพื่อให้ทริปราบรื่นที่สุด?

ตอบ: แน่นอนค่ะ! นอกจากกล้องคู่ใจแล้ว สิ่งที่ฉันไม่เคยลืมเลยคือ น้ำดื่มค่ะ เพราะอากาศบ้านเราค่อนข้างร้อน บางทีเดินขึ้นไปถึงจุดชมวิวก็คอแห้งแล้วนะ หรือถ้าคุณเป็นสายชอบนั่งชิลล์ๆ จิบอะไรเพลินๆ ก็พกขนมหรือน้ำผลไม้เล็กๆ ไปด้วยก็ดีค่ะ อีกอย่างที่สำคัญมากๆ คือพาวเวอร์แบงก์ค่ะ!
เพราะเราต้องถ่ายรูปเยอะแน่ๆ แบตมือถือหมดเร็วแน่นอนค่ะ ไหนจะเช็คเส้นทางอีก หรือถ้าไปช่วงเย็นๆ แล้วลมแรงหน่อยก็อาจจะพกเสื้อคลุมบางๆ ไปด้วยก็ดีนะ จะได้ไม่หนาวเกินไป และที่สำคัญคือเตรียมใจไปเสพความงามของธรรมชาติให้เต็มที่ค่ะ ไม่ต้องคิดเยอะ ปล่อยใจไปกับบรรยากาศค่ะ รับรองว่ากลับมาฟินแน่นอน!

📚 อ้างอิง